4.3 การกำหนดขอบข่ายระบบบริหารคุณภาพ
องค์กรต้องพิจารณาขอบเขต และการนำระบบบริหารคุณภาพไปประยุกต์ใช้เพื่อจัดทำขอบข่าย
ในการกำหนดขอบข่าย องค์กรต้องพิจารณาถึง
a) ประเด็นภายนอกและภายใน ตามข้อ 4.1
b) ข้อกำหนดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ตามข้อ 4.2
c) ผลิตภัณฑ์และบริการขององค์กร
องค์กรต้องทำการประยุกต์ใช้ข้อกำหนดของมาตรฐานสากลฉบับนี้ในกรณีที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ ในขอบข่ายของระบบบริหารคุณภาพที่ได้พิจารณา
ขอบข่ายของระบบบริหารคุณภาพขององค์กรต้องมีพร้อมอยู่
และได้รับการธำรงรักษาเป็นเอกสารสารมนเทศ
ขอบข่ายต้องระบุ
ชนิดของผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุม
และให้ถ้อยแถลงสำหรับการละเว้นข้อกำหนดใด ๆ
ของข้อกำหนดของมาตรฐานสากลฉบับนี้
ที่องค์กรพิจารณาว่าไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในขอบข่ายการรับรองระบบบริหารคุณภาพ
การสอดคล้องกับมาตรฐานสากลฉบันนี้
อาจใช้อ้างได้ในกรณีที่ ข้อกำหนดที่พิจารณาว่าไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ไม่มีผลกระทบต่อความสามารถหรือความรับผิดชอบในการทำให้มั่นใจความสอดคล้องข้อกำหนดผลิตภัณฑ์และบริการ และการทำให้ได้มาที่ซึ่งความพึงพอใจลูกค้า
|
การตีความข้อกำหนด 4.3 นี้ ขอแบ่งเป็นกรณีดังนี้นะคะ
กรณีที่ 1 องค์กรที่ยังไม่เคยได้รับการรับรอง
ISO9001
การกำหนด scope หรือ
ขอบเขตในการขอรับรอง
จะต้องคำนึงถึงผลการวิเคราะห์ในข้อ 4.1 และ 4.2
รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการขององค์กรเองด้วยค่ะ
แปลกันอีกทีให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ
องค์กรใดที่จะขอการรับรองเพียงแค่บางส่วน บางแผนก หรือ บางโรงงานย่อย ๆ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานใหญ่ ก็อาจจะไม่ได้แล้วค่ะ
>>>> “อาจจะไม่ได้” หรือ “อาจจะได้” นั้น ขึ้นอยู่กับ ขอบเขต หรือ scope
ที่จะขอรับรองนั้น
Ø ครอบคลุมผลการวิเคราะห์ประเด็นภายนอก/ภายใน หรือไม่
Ø ตอบสนองต่อข้อกำหนด/ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย
ครบถ้วนหรือไม่
Ø ครอบคลุมกระบวนการทำให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการ
ทุกกระบวนการหรือไม่
กรณีที่ 2 องค์กรที่ได้รับการรับรอง
ISO 9001:2008 แล้วจะ upgrade เป็น ISO
9001:2015
องค์กรในกลุ่มนี้ก็ต้องสำรวจก่อนนะคะว่า
ภายใต้ขอบเขต (scope) เดิม
Ø เรามีการดำเนินงานที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วมีผลกระทบต่อการขอรับรองหรือไม่
เช่น อยากจะ เพิ่ม scope หรือ ลด scope
Ø Scope
เดิม ครอบคลุม ผลการวิเคราะห์ของข้อกำหนด 4.1 , 4.2 , ผลิตภัณฑ์และบริการของเราหรือยัง
ถ้าครอบคลุมแล้วก็สามารถใช้ scope เดิมได้เลยค่ะ
ทั้ง 2 กรณีนี้ นอกจากจะต้องระบุ scope แล้ว ยังต้องระบุข้อกำหนดที่ขอยกเว้นด้วยค่ะ และต้องจัดทำเป็นเอกสารสารสนเทศนะคะ หากมีการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อ scope
ก็ย้อนกลับไปพิจารณาความเหมาะสมกันใหม่ค่ะ
ทั้ง scope และ
ข้อกำหนดที่ยกเว้น ก็จับไประบุไว้ใน คู่มือคุณภาพ
ก็ได้ค่ะ
ส่วนมุมมองของ Auditor ที่ตรวจ
ก็คงต้องมองหาหลักฐานเหล่านี้ค่ะ
· ดูว่า
scope
และ ข้อกำหนดที่ยกเว้น
เป็นจริงและสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ในข้อกำหนด 4.1 , 4.2 หรือไม่
· มีการระบุ
scope
และข้อกำหนดที่ยกเว้น เป็นเอกสารสารสนเทศ > ได้รับการอนุมัติหรือไม่ > ประกาศไว้วันที่เท่าไหร่
ตามนี้ค่ะ........บทความตอนหน้าเป็นข้อกำหนดสุดท้าย
4.4 ค่ะ .......เอกสารสารสนเทศจะเกิดขึ้นมาอีกเพียบเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
^-^
สุกัญญา
มีบุศยวัสส์ (อ้อ)
Consultant
and Trainer
BSM
Solutions Limited Partnership
086-145-3665
bsm.solm@gmail.com
FB: sukanya meebusayawas